
ปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 ดำรงตำแหน่ง
สมัยที่ 1: 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 (ลาออก)
สมัยที่ 2: 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 (ลาออก)
สมัยที่ 3: 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (ลาออก)
เกิด 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงแก่อสัญกรรม 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี)ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สังกัดพรรค พรรคสหชีพ สมรสกับ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
ในปี พ.ศ. 2543 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อของท่านไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ปี ค.ศ. 2000-2001 ปรีดี พนมยงค์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บุคคลที่เป็นมันสมองที่สำคัญอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 บุคคลผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้แก่ประเทศชาติราชบัลลังก์ และมวลชนด้วยความซื่อสัตย์ บุคคลผู้จงรักภักดีต่อชาติตลอดมา โดยมิได้ปล่อยให้เวลาสะดุดหยุดลงจวบจนกระทั่งถึงอสัญกรรม ซึ่งยากที่จะหานักการเมืองคนใดเสมอเหมือนได้ ท่านผู้นั้นคือ “อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส”
ย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรอันประกอบด้วยข้าราชการ นายทหาร และราษฎรอันประกอบด้วยข้าราชการ นายทหาร และราษฎรสามัญได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลอย่างรวดเร็วและปราศจากการสูญเสียเลือดเนื้อ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ นายปรีดีผู้นำพลเรือนแห่งคณะราษฎรได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับดังกล่าวและนำมาเป็นพื้นฐานการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อมา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ได้วางรากฐานที่หนักแน่นสำหรับการเติบโตและพัฒนาการด้านประชาธิปไตยในสยาม ทั้งนี้โดยมีสาระที่สำคัญต่อสังคมและวัฒนธรรมการเมืองไทยสองประการดังนี้ ประการแรกอำนาจสูงสุดต้องตกอยู่กับปวงชนชาวสยาม ประการที่สองกำหนดให้แยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการออกจากกันอย่างชัดเจน หลักการทั้งสองได้ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทั้งหมดของประเทศและเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตยขึ้นในสยาม
ระหว่างปี 2475 ถึง 2490 นายปรีดีได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญหลายตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสและให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดินเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป ในช่วงที่รับราชการและเป็นผู้นำรัฐบาลนายปรีดีได้เพียรพยายามที่จะดำเนินการให้หลักหกประการของคณะราษฎรเป็นจริงขึ้นมา คุณูปการของท่านหลายประการได้ส่งผลยั่งยืนสืบมา อาทิ การร่างแผนเค้าโครงการเศรษฐกิจการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พระราชบัญญัติเทศบาลปี 2476 ที่มอบอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ได้การยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคที่รัฐบาลสยามได้ถูกชาติมหาอำนาจบีบให้ลงนามการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอากรที่ไม่เป็นธรรม การจัดทำประมวลรัษฎากรขึ้นเป็นครั้งแรกและการจัดตั้งองค์กร ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย
หลัก 6 ประการ ของคณะราษฎร
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นได้กรีฑาทัพเข้ายึดประเทศสยาม แม้ในขณะที่ยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายปรีดีได้เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่นอย่างลับๆ ยังผลให้ในเวลาต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริกายอมรับถึงการปฏิบัติการร่วมมืออย่างห้าวหาญของขบวนการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่น และได้ถือว่าสยามเป็นประเทศเอกราชที่ถูกหักหาญยึดครองโดยกองกำลังทหารของญี่ปุ่น ไม่เข้าข่ายเป็นประเทศคู่สงครามกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรและได้รับการยกเว้นจากมาตรการควบคุมบังคับภายหลังสงคราม
นายปรีดีตระหนักดีว่า สังคมเราจะเป็นประชาธิปไตยได้ก็ต่อเมื่อคนจำนวนมากได้รับการคุ้มครองสิทธิและได้รับโอกาสพัฒนาตนเอง ท่านทราบดีว่าการให้แต่เสรีภาพทางการเมืองโดยไม่ส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ท่านพยายามที่จะทำลายระบบศักดินาและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีงามขึ้น ท่านปรารถนาที่จะส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและความเข้าใจกันในระหว่างคนร่วมชาติ เพื่อให้พวกเขาได้พัฒนาตนเอง ให้เกิดความใส่ใจและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน อันต่างจากระบบที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างทำลายล้างซึ่งเป็นการสูญพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้เขียนคิดว่าสังคมไทยปัจจุบันของเรา ณ ขณะนี้ ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของสังคมร่วมกัน มีความสามัคคีกัน เราทุกคนในสังคมไทยล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหากบุคคลหนึ่งในสังคมต้องแย่ลงก็จะเกี่ยวพันกันแย่ลงได้ ทำให้สังคมนั้นแย่ลงด้วย เพราะเราทุกคนมีความสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ สังคมจะพัฒนาและดำรงอยู่ได้ก็ด้วยมวลราษฎร ซึ่งก็คือพวกเราทุกคน(ประชาชน) เพราะฉะนั้นเราควรสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความเจริญผาสุกของสังคมเรา สังคมเราจะได้พัฒนาไพบูลย์
การมีระบบประชาธิปไตยทางการเมือง แต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แม้จะเป็นประโยชน์แก่ราษฎรส่วนมากดีกว่าไม่มีระบบประชาธิปไตยทางการเมืองเสียเลย ก็จริงอยู่ แต่ถ้าไม่มีระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ราษฎรส่วนมากก็ไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้เพราะคนส่วนน้อยที่กุมอำนาจเศรษฐกิจอยู่ในมือ ย่อมมีโอกาสดีกว่าในการใช้สิทธิประชาธิปไตยทางการเมือง...
(อนาคตของประเทศไทยควรดำเนินไปในรูปใด จาก “ปรีดี พนมยงค์ พูดถึง กรณีสวรรคตและปัญหาของชาติ”)
แสดงความคิดเห็นได้ที่ "ความคิดเห็น"
อยู่ตรงขวามือด้านล่างของบทความนี้นะจ๊ะ