วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมคือใคร มีความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยอย่างไร


ปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 ดำรงตำแหน่ง

สมัยที่ 1: 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 (ลาออก)

สมัยที่ 2: 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 (ลาออก)

สมัยที่ 3: 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (ลาออก)

เกิด 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงแก่อสัญกรรม 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี)ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สังกัดพรรค พรรคสหชีพ สมรสกับ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์


ในปี พ.ศ. 2543 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อของท่านไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ปี ค.ศ. 2000-2001 ปรีดี พนมยงค์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



บุคคลที่เป็นมันสมองที่สำคัญอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 บุคคลผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้แก่ประเทศชาติราชบัลลังก์ และมวลชนด้วยความซื่อสัตย์ บุคคลผู้จงรักภักดีต่อชาติตลอดมา โดยมิได้ปล่อยให้เวลาสะดุดหยุดลงจวบจนกระทั่งถึงอสัญกรรม ซึ่งยากที่จะหานักการเมืองคนใดเสมอเหมือนได้ ท่านผู้นั้นคือ “อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส”



ย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรอันประกอบด้วยข้าราชการ นายทหาร และราษฎรอันประกอบด้วยข้าราชการ นายทหาร และราษฎรสามัญได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลอย่างรวดเร็วและปราศจากการสูญเสียเลือดเนื้อ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ นายปรีดีผู้นำพลเรือนแห่งคณะราษฎรได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับดังกล่าวและนำมาเป็นพื้นฐานการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อมา



รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ได้วางรากฐานที่หนักแน่นสำหรับการเติบโตและพัฒนาการด้านประชาธิปไตยในสยาม ทั้งนี้โดยมีสาระที่สำคัญต่อสังคมและวัฒนธรรมการเมืองไทยสองประการดังนี้ ประการแรกอำนาจสูงสุดต้องตกอยู่กับปวงชนชาวสยาม ประการที่สองกำหนดให้แยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการออกจากกันอย่างชัดเจน หลักการทั้งสองได้ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทั้งหมดของประเทศและเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตยขึ้นในสยาม



ระหว่างปี 2475 ถึง 2490 นายปรีดีได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญหลายตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสและให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดินเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป ในช่วงที่รับราชการและเป็นผู้นำรัฐบาลนายปรีดีได้เพียรพยายามที่จะดำเนินการให้หลักหกประการของคณะราษฎรเป็นจริงขึ้นมา คุณูปการของท่านหลายประการได้ส่งผลยั่งยืนสืบมา อาทิ การร่างแผนเค้าโครงการเศรษฐกิจการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พระราชบัญญัติเทศบาลปี 2476 ที่มอบอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ได้การยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคที่รัฐบาลสยามได้ถูกชาติมหาอำนาจบีบให้ลงนามการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอากรที่ไม่เป็นธรรม การจัดทำประมวลรัษฎากรขึ้นเป็นครั้งแรกและการจัดตั้งองค์กร ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย
หลัก 6 ประการ ของคณะราษฎร
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร


ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นได้กรีฑาทัพเข้ายึดประเทศสยาม แม้ในขณะที่ยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายปรีดีได้เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่นอย่างลับๆ ยังผลให้ในเวลาต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริกายอมรับถึงการปฏิบัติการร่วมมืออย่างห้าวหาญของขบวนการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่น และได้ถือว่าสยามเป็นประเทศเอกราชที่ถูกหักหาญยึดครองโดยกองกำลังทหารของญี่ปุ่น ไม่เข้าข่ายเป็นประเทศคู่สงครามกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรและได้รับการยกเว้นจากมาตรการควบคุมบังคับภายหลังสงคราม



นายปรีดีตระหนักดีว่า สังคมเราจะเป็นประชาธิปไตยได้ก็ต่อเมื่อคนจำนวนมากได้รับการคุ้มครองสิทธิและได้รับโอกาสพัฒนาตนเอง ท่านทราบดีว่าการให้แต่เสรีภาพทางการเมืองโดยไม่ส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ท่านพยายามที่จะทำลายระบบศักดินาและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีงามขึ้น ท่านปรารถนาที่จะส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและความเข้าใจกันในระหว่างคนร่วมชาติ เพื่อให้พวกเขาได้พัฒนาตนเอง ให้เกิดความใส่ใจและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน อันต่างจากระบบที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างทำลายล้างซึ่งเป็นการสูญพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้เขียนคิดว่าสังคมไทยปัจจุบันของเรา ณ ขณะนี้ ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของสังคมร่วมกัน มีความสามัคคีกัน เราทุกคนในสังคมไทยล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหากบุคคลหนึ่งในสังคมต้องแย่ลงก็จะเกี่ยวพันกันแย่ลงได้ ทำให้สังคมนั้นแย่ลงด้วย เพราะเราทุกคนมีความสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ สังคมจะพัฒนาและดำรงอยู่ได้ก็ด้วยมวลราษฎร ซึ่งก็คือพวกเราทุกคน(ประชาชน) เพราะฉะนั้นเราควรสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความเจริญผาสุกของสังคมเรา สังคมเราจะได้พัฒนาไพบูลย์



นายปรีดี พนมยงค์ ถือเป็นบุคคลสำคัญที่นำระบบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในประเทศไทย เพื่อความเจริญและพัฒนาขึ้นให้เท่าเทียมนานาประเทศ เพื่อให้ประชาชนอย่างเราๆ ได้มีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองสังคมประเทศของเรา เพื่อให้เกิดสันติภาพ ความเสมอภาคเพื่อที่เราจะได้พัฒนาตนเอง และให้เกิดความยุติธรรมในสังคม และในเมื่อเราใช้ระบบประชาธิปไตยเราก็ควรมีส่วนร่วมทางการเมือง ใช้สิทธิและเสรีภาพที่เรามีให้เกิดประโยชน์แก่ชาติของเรา ช่วยกัน ร่วมมือกันพัฒนาชาติบ้านเมืองของเรา


ขอขอบคุณ สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา 100 ปี ชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ปูชนียบุคคลของโลก



การมีระบบประชาธิปไตยทางการเมือง แต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แม้จะเป็นประโยชน์แก่ราษฎรส่วนมากดีกว่าไม่มีระบบประชาธิปไตยทางการเมืองเสียเลย ก็จริงอยู่ แต่ถ้าไม่มีระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ราษฎรส่วนมากก็ไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้เพราะคนส่วนน้อยที่กุมอำนาจเศรษฐกิจอยู่ในมือ ย่อมมีโอกาสดีกว่าในการใช้สิทธิประชาธิปไตยทางการเมือง...
(อนาคตของประเทศไทยควรดำเนินไปในรูปใด จาก “ปรีดี พนมยงค์ พูดถึง กรณีสวรรคตและปัญหาของชาติ”)

แสดงความคิดเห็นได้ที่ "ความคิดเห็น"

อยู่ตรงขวามือด้านล่างของบทความนี้นะจ๊ะ

11 ความคิดเห็น:

CrystalShade กล่าวว่า...

อืมข้อมูลแน่นดีครับ อย่างละเอียดเรย

พลอยเพื่อนกิ๊ฟท์(ป้า) กล่าวว่า...

รู้สึกชอบจัง ท่าน

บ้านเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลง เพราะนายปรีดี พนมยงค์

ไม่งั้นคงเราคงไม่รู้จักคำว่าประชาธิปไตยหรอก

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ได้ความรู้ดี มากขึ้นกว่าเดิมขอบคุณนะค่ะ

yiipun p'takeผู้แสนประเสริฐ กล่าวว่า...

ฉบับ Re-comment

สังคมจะพัฒนาและดำรงอยู่ได้ก็ด้วยมวลราษฎร ซึ่งก็คือพวกเราทุกคน(ประชาชน) เพราะฉะนั้นเราควรสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความเจริญผาสุกของสังคมเรา สังคมเราจะได้พัฒนาไพบูลย์

เหนด้วยอย่างแรงค่ะ

สุดารัตน์ นวลจันทร์ค่ะ กล่าวว่า...

ท่านปรีดี พนมยงค์ ท่านอุตส่าห์ทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนชาวไทยอย่างเราๆ ได้ใช้อำนาจกันอย่างเต็มที่ เเล้วเหตุใดหน๋อ? การใช้อำนาจของคนไทยในปัจจุบัน มันนำมาซึ่งความขัดเเย้งกันเช่นนี้ ไม่คิดกันบ้างหรือไงเนี่ย?????.....เฮ่อออน่าจะนำวิสัยทัศน์ที่ดีของท่านตามหลักหกประการมาใช้ให้ถูกต้อง เพื่อช่วยๆกันพัฒนาบ้านเมืองของเรา อย่าให้ท่านต้องเหนื่อยเปล่า หรือรู้สึกผิดที่เป็นสิ่งที่ตนสร้างมามันเป็นผลให้คนในชาติต้องแตกแยกกัน...

Nisachon กล่าวว่า...

อ่า อ่านแร้วรู้สึกภูมิใจมากๆๆๆเลย
เราคนไทยต้องรักกันไว้นะคร้า

mastereak กล่าวว่า...

ข้อมูลเยอะดี อ่านแล้วรู้สึกดีและภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย

psycool กล่าวว่า...

เป็นคนดีจริงเลย
น่าเสียดายจังที่ในปัจจุบัน
หาคนอย่างท่านแทบไม่ได้แล้ว
เค้าว่านะ
กฎ หก ประการน่ะ
ยังไม่เคยใช้ได้อย่างสมบูรณ์ในแผ่นดินสยามเลย

BABARA ,, กล่าวว่า...

รู้สึกดี กะ ท่าน ปรีดี พนมยงค์ มากๆ ไม่มีท่านในวันนั้น คงไม่มีระบอบประชาธิปไตยในวันนี้

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อืม ! ได้รู้ประวัติทางการเมืองด้วย

ดีจัง

Dr.Rak กล่าวว่า...

กิ๊ฟท์
ดูเหมือนกิ๊ฟท์จะนำเสนอบทความนี้แบบที่ขาดความเป็นตัวตน ของกิ๊ฟท์เอามาก ๆ ....กิ๊ฟท์เป็นคนเก่ง แล้วก็น่าจะเป็นคนมีแนวทางชีวิตที่ชัดเจน ซึ่งเป็นข้อเด่นของคนที่จะเป็น "ผู้นำ" ที่ดีได้ต่อไป ขอให้กิ๊ฟท์ มุ่งมั่น มั่นใจ ในศักยภาพของตัวเอง ...เชื่อมั่นว่ากิ๊ฟท์จะทำได้ดีนะ
..เป็นกำลังใจให้นะ...
อาจารย์แรก