วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมคือใคร มีความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยอย่างไร


ปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 ดำรงตำแหน่ง

สมัยที่ 1: 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 (ลาออก)

สมัยที่ 2: 7 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 (ลาออก)

สมัยที่ 3: 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (ลาออก)

เกิด 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงแก่อสัญกรรม 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี)ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สังกัดพรรค พรรคสหชีพ สมรสกับ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์


ในปี พ.ศ. 2543 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อของท่านไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ปี ค.ศ. 2000-2001 ปรีดี พนมยงค์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



บุคคลที่เป็นมันสมองที่สำคัญอันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 บุคคลผู้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้แก่ประเทศชาติราชบัลลังก์ และมวลชนด้วยความซื่อสัตย์ บุคคลผู้จงรักภักดีต่อชาติตลอดมา โดยมิได้ปล่อยให้เวลาสะดุดหยุดลงจวบจนกระทั่งถึงอสัญกรรม ซึ่งยากที่จะหานักการเมืองคนใดเสมอเหมือนได้ ท่านผู้นั้นคือ “อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) รัฐบุรุษอาวุโส”



ย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรอันประกอบด้วยข้าราชการ นายทหาร และราษฎรอันประกอบด้วยข้าราชการ นายทหาร และราษฎรสามัญได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลอย่างรวดเร็วและปราศจากการสูญเสียเลือดเนื้อ เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้ภายใต้รัฐธรรมนูญ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ นายปรีดีผู้นำพลเรือนแห่งคณะราษฎรได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับดังกล่าวและนำมาเป็นพื้นฐานการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อมา



รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ได้วางรากฐานที่หนักแน่นสำหรับการเติบโตและพัฒนาการด้านประชาธิปไตยในสยาม ทั้งนี้โดยมีสาระที่สำคัญต่อสังคมและวัฒนธรรมการเมืองไทยสองประการดังนี้ ประการแรกอำนาจสูงสุดต้องตกอยู่กับปวงชนชาวสยาม ประการที่สองกำหนดให้แยกอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการออกจากกันอย่างชัดเจน หลักการทั้งสองได้ปฏิรูปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทั้งหมดของประเทศและเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตยขึ้นในสยาม



ระหว่างปี 2475 ถึง 2490 นายปรีดีได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญหลายตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ ไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโสและให้มีหน้าที่รับปรึกษากิจราชการแผ่นดินเพื่อความวัฒนาถาวรของชาติสืบไป ในช่วงที่รับราชการและเป็นผู้นำรัฐบาลนายปรีดีได้เพียรพยายามที่จะดำเนินการให้หลักหกประการของคณะราษฎรเป็นจริงขึ้นมา คุณูปการของท่านหลายประการได้ส่งผลยั่งยืนสืบมา อาทิ การร่างแผนเค้าโครงการเศรษฐกิจการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พระราชบัญญัติเทศบาลปี 2476 ที่มอบอำนาจให้ประชาชน เลือกตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ได้การยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคที่รัฐบาลสยามได้ถูกชาติมหาอำนาจบีบให้ลงนามการปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีอากรที่ไม่เป็นธรรม การจัดทำประมวลรัษฎากรขึ้นเป็นครั้งแรกและการจัดตั้งองค์กร ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย
หลัก 6 ประการ ของคณะราษฎร
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสุขของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
4. จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
6. จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร


ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นได้กรีฑาทัพเข้ายึดประเทศสยาม แม้ในขณะที่ยังเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายปรีดีได้เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย เพื่อต่อต้านการยึดครองของญี่ปุ่นอย่างลับๆ ยังผลให้ในเวลาต่อมารัฐบาลสหรัฐอเมริกายอมรับถึงการปฏิบัติการร่วมมืออย่างห้าวหาญของขบวนการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่น และได้ถือว่าสยามเป็นประเทศเอกราชที่ถูกหักหาญยึดครองโดยกองกำลังทหารของญี่ปุ่น ไม่เข้าข่ายเป็นประเทศคู่สงครามกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรและได้รับการยกเว้นจากมาตรการควบคุมบังคับภายหลังสงคราม



นายปรีดีตระหนักดีว่า สังคมเราจะเป็นประชาธิปไตยได้ก็ต่อเมื่อคนจำนวนมากได้รับการคุ้มครองสิทธิและได้รับโอกาสพัฒนาตนเอง ท่านทราบดีว่าการให้แต่เสรีภาพทางการเมืองโดยไม่ส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมแก่ชนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ท่านพยายามที่จะทำลายระบบศักดินาและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเพื่อให้เกิดสังคมที่ดีงามขึ้น ท่านปรารถนาที่จะส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีและความเข้าใจกันในระหว่างคนร่วมชาติ เพื่อให้พวกเขาได้พัฒนาตนเอง ให้เกิดความใส่ใจและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน อันต่างจากระบบที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างทำลายล้างซึ่งเป็นการสูญพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้เขียนคิดว่าสังคมไทยปัจจุบันของเรา ณ ขณะนี้ ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการเสียสละเพื่อความไพบูลย์ของสังคมร่วมกัน มีความสามัคคีกัน เราทุกคนในสังคมไทยล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหากบุคคลหนึ่งในสังคมต้องแย่ลงก็จะเกี่ยวพันกันแย่ลงได้ ทำให้สังคมนั้นแย่ลงด้วย เพราะเราทุกคนมีความสัมพันธ์กันอยู่เนืองๆ สังคมจะพัฒนาและดำรงอยู่ได้ก็ด้วยมวลราษฎร ซึ่งก็คือพวกเราทุกคน(ประชาชน) เพราะฉะนั้นเราควรสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อความเจริญผาสุกของสังคมเรา สังคมเราจะได้พัฒนาไพบูลย์



นายปรีดี พนมยงค์ ถือเป็นบุคคลสำคัญที่นำระบบประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในประเทศไทย เพื่อความเจริญและพัฒนาขึ้นให้เท่าเทียมนานาประเทศ เพื่อให้ประชาชนอย่างเราๆ ได้มีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองสังคมประเทศของเรา เพื่อให้เกิดสันติภาพ ความเสมอภาคเพื่อที่เราจะได้พัฒนาตนเอง และให้เกิดความยุติธรรมในสังคม และในเมื่อเราใช้ระบบประชาธิปไตยเราก็ควรมีส่วนร่วมทางการเมือง ใช้สิทธิและเสรีภาพที่เรามีให้เกิดประโยชน์แก่ชาติของเรา ช่วยกัน ร่วมมือกันพัฒนาชาติบ้านเมืองของเรา


ขอขอบคุณ สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา 100 ปี ชาตกาล รัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ ปูชนียบุคคลของโลก



การมีระบบประชาธิปไตยทางการเมือง แต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แม้จะเป็นประโยชน์แก่ราษฎรส่วนมากดีกว่าไม่มีระบบประชาธิปไตยทางการเมืองเสียเลย ก็จริงอยู่ แต่ถ้าไม่มีระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ราษฎรส่วนมากก็ไม่มีโอกาสในทางปฏิบัติที่จะใช้สิทธิประชาธิปไตยได้เพราะคนส่วนน้อยที่กุมอำนาจเศรษฐกิจอยู่ในมือ ย่อมมีโอกาสดีกว่าในการใช้สิทธิประชาธิปไตยทางการเมือง...
(อนาคตของประเทศไทยควรดำเนินไปในรูปใด จาก “ปรีดี พนมยงค์ พูดถึง กรณีสวรรคตและปัญหาของชาติ”)

แสดงความคิดเห็นได้ที่ "ความคิดเห็น"

อยู่ตรงขวามือด้านล่างของบทความนี้นะจ๊ะ

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรม

...ความยุติธรรม...


ความยุติธรรม คำๆนี้ดูจะมีหลายความหมายในใจของหลายๆคน เชื่อได้เลยว่าทุกคนต้องการความยุติธรรม ความยุติธรรมคืออะไร อันนี้ตอบยาก ส่วนมากใครที่ได้รับผลประโยชน์ คนนั้นก็ว่ายุติธรรม คนเสียประโยชน์เขาก็ว่าไม่ยุติธรรม ถ้าอย่างนั้นความยุติธรรมจริงๆคืออะไร


ต้องบอกก่อนว่า ความยุติธรรมกับความเสมอภาคไม่เหมือนกัน ความยุติธรรม ต้องให้คนได้รับสิ่งที่เขาควรจะได้รับ ถ้าเขาควรได้รับรางวัลก็ให้รางวัล ถ้าเขาควรได้รับโทษ ก็ให้ได้รับโทษ นี่เรียกว่าความยุติธรรม (ใครทำอย่างใดก็ได้รับอย่างนั้น)


บางคนบอกว่าความยุติธรรมจริงๆไม่มี หรือมี แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ใครหรืออะไรเป็นสิ่งตัดสิน

มนุษย์เราโดยปกติ โดยทั่วไปมีอคติ เข้าข้างตัวเองบ้าง เข้าข้างพวกพ้องของตัวเองบ้าง ทั้งยังเกลียดชังผู้อื่นและพวกอื่น อคตินี่แหละทำให้เสียความยุติธรรม

ฉันทาคติพอใจลำเอียงเพราะพอใจบ้าง

โทสาคติ ลำเอียงเพราะไม่ชอบบ้าง

โมหาคติ ลำเอียงเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็กระทำไปตามที่ไม่รู้เรื่อง โมหาคติ ตามตัวแปลว่าลำเอียงเพราะหลง หลงเข้าใจผิด คือไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้มันเป็นอย่างไร แล้วก็ทำไปเหมือนกับรู้

ภยา คติ ลำเอียงเพราะความกลัว

ถ้ามีอคติอย่างใดอย่างหนึ่งใน 4 อย่างนี้ ความยุติธรรมหายไป หาได้ยาก


เรื่องที่มนุษย์ตัดสินว่าผิด ถูก ดี หรือชั่ว แน่นอนคือไม่แน่นอน หรือว่าไม่แน่นอนเสมอไป เชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ ความรู้สึกว่าพวกเราหรือพวกเขา มันจะมาเป็นกำแพงกั้นความยุติธรรม คือปิดบังดวงปัญญา ทำให้ผู้รู้ทำอะไรอย่างคนโง่ และทำให้ผู้มีอำนาจลงโทษคนที่ไม่ผิด เช่น อาจารย์ขององคุลิมาล ยืมมือคนอื่นประทุษร้าย เพราะโมหาคติ และภยาคติของตน ทำให้อาจารย์ผู้สอนธรรม กลายเป็นผู้ไร้เสียซึ่งความยุติธรรม


ถ้ายกตัวอย่างในเรื่องความยุติธรรมหายไปไหนในการเมืองของไทย การที่ประชาชนรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมก็เพราะมีอคติ 4 อย่างนี้อยู่ การไม่รู้เรื่องราวตามความเป็นจริง ในบางคนก็เพราะความกลัว หากพูดไปแล้วตนก็จะได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ก็สู้ไม่พูดดีกว่า


ความยุติธรรมตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือว่าเชื่อถือได้ที่สุด เช่น การประพฤติผิดต่อธรรมชาติของร่างกายภายนอก ก็ได้รับผลตอบแทนมา เช่น เอามือไปต่อยกำแพงมือก็เจ็บ หรืออย่างกินของเผ็ดเข้าไป มันก็ร้อนปาก ร้อนกระเพาะมันเป็นความยุติธรรมสากล


ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?? ถ้าเป็นความยุติธรรมที่คนตั้งขึ้น มันก็อยู่ที่คน ถ้าคนมีธรรม ความยุติธรรมก็มี ถ้าคนไม่มีธรรม ความยุติธรรมก็ไม่มี เราขอความเป็นธรรมจากคนไม่มีธรรม เขาจะเอาที่ไหนให้ เพราะว่าเขาไม่มีธรรม ก็เหมือนกับถ้าเราอยากได้นมวัวแต่ไปรีดเอาที่เขาของมัน รีดให้เหนื่อยมันก็ไม่มีออกมาให้แน่เพราะที่เขามันไม่มีน้ำนม เพราะฉะนั้น ความยุติธรรม มันก็อยู่ที่คน ถ้าคนมีธรรม ฉะนั้นถ้าเราต้องการความยุติธรรม เราก็ต้องพยายามฝึกให้คนมีธรรม ถ้าคนไม่มีธรรม มันก็ไม่ยุติธรรม จะเอาที่ไหนมาให้


ถ้าความยุติธรรมมาเผชิญหน้ากับเมตตากรุณา ถ้ามันสอดคล้องกันไปได้ ไม่ขัดแย้งกัน มีความยุติธรรมด้วย ไม่เสียเมตตากรุณาด้วย ได้เมตตากรุณาด้วย ได้ความยุติธรรมด้วย อย่างนั้นก็ดี ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเกิดขัดแย้งกันขึ้นระหว่างเมตตากรุณา กับความยุติธรรมเราจะเอาอะไรไว้และทิ้งอะไรไป เช่น ครูกับนักเรียน ถ้าบอกข้อสอบกับนักเรียนบางคน เมตตากรุณากับนักเรียนคนนั้น กลัวเขาจะสอบตก แล้วเขาจะลำบาก ก็บอกข้อสอบเขาไป หรือตรวจข้อสอบให้เขาได้คะแนนดี ทั้งที่เขาทำไม่ได้ อย่างนี้แม้จะสำรวจใจแล้ว ว่ามีเมตตากรุณา แต่ว่ามันเสียความยุติธรรม


ในกรณีที่คุณธรรม 2 อย่าง มาเผชิญหน้ากันและขัดแย้งกัน จำเป็นต้องทิ้งอย่างหนึ่งเอาไว้อย่างหนึ่ง ดูตัวอย่างเปาบุ้นจิ้นเป็นตัวอย่างที่ดี ท่านต้องดำรงรักษาความยุติธรรมเอาไว้ ดูเหมือนจะขาดเมตตากรุณา แต่ความจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องดำรงความยุติธรรมเอาไว้ เพราะว่าความยุติธรรมเป็นหน้าที่โดยตรงของคนทุกคน เมตตากรุณา เป็นคุณธรรมเหมือนกัน แต่เมื่อมาพร้อมกันเป็นหน้าที่โดยอ้อม แต่ถ้าทำได้ เราประพฤติความยุติธรรม โดยไม่ให้เสียความเมตตากรุณา แต่ถ้าประพฤติความเมตตากรุณาอย่าให้เสียความยุติธรรม ถ้าให้เสียความยุติธรรมแล้ว มันจะเสียไปหมดหลายอย่าง ที่จริงเราสามารถจะผดุงความยุติธรรมไว้ได้ ด้วยเมตตากรุณานั่นเอง เช่น เราลงโทษคนเพื่อรักษาความยุติธรรม แล้วก็เป็นการเมตตากรุณาบุคคลผู้นั้นไปด้วย เพื่อไม่ให้เขาทำผิดยิ่งไปกว่านั้น อันนี้ขอให้ทำความเข้าใจให้ดี


การสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม โดยการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรม การคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การป้องกันแก้ไขข้อพิพาทขัดแย้ง และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ถือเป็นความสำคัญของเรื่องความยุติธรรม

โดยสรุปถ้าอยากเห็นความยุติธรรมเราต้องขจัดอคติทั้ง 4 ที่กล่าวไปออกให้หมด และต้องทำความเข้าใจในเรื่องของความเมตตากรุณาให้ดี คิดง่ายๆว่าใครทำอะไรก็ต้องได้รับแบบนั้น(ตามความเป็นจริง)

ถ้าเราจะรักษาสัจจะ ก็ต้องรักษาสัจจะที่เป็นประโยชน์ และยุติธรรม ที่นักปราชญ์ท่านกล่าวว่า สจฺเจ อตเถ จ ธมฺเม จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา ท่านสัตบุรุษกล่าวว่า สัตบุรุษทั้งหลายดำรงอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์ และเป็นธรรมคือยุติธรรม แม้จะเป็นความจริง แต่ความจริงนั้นต้องเป็นประโยชน์และยุติธรรม จึงจะพูดได้หรือทำได้ รักษาได้


ทุกคนชอบความยุติธรรม แต่ว่าน้อยคนนักที่จะดำรงอยู่ในความยุติธรรมโดยสม่ำเสมอและถูกต้อง


"อำนาจบังคับที่ไร้เสียซึ่งความยุติธรรม...คือทรราช แต่ความยุติธรรมที่ไร้อำนาจบังคับ...ก็คือความระส่ำระสาย" แบลส ปาสกาล


ขอขอบคุณ หนังสือ คติชีวิต ของวศิน อินทสระ และประชาธิปไตยและการปฏิรูปการเมืองไทย ของศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

แสดงความคิดเห็นได้ที่คำว่า "ความคิดเห็น" คลิกได้ที่นี่นะคะ ขอบคุณทุกๆคอมเม้นคะ^^=

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สังคมที่ปรารถนา

“สังคมที่ปรารถนา”

อันดับแรกต้องขอบอกก่อนว่า “สังคมที่ปรารถนา” นี้เป็นแนวความคิดหนึ่งของผู้เขียนเองประกอบกับการศึกษาตำราที่เกี่ยวกับการเมือง หากมีข้อความใดที่ไม่เหมาะสมผู้เขียนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “สังคมที่ปรารถนา” นี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากคะ

เมื่อพูดถึงสังคมที่พึงปรารถนา ใครๆก็คงอยากได้สังคมที่ตนเองปรารถนา ต้องการสังคมแบบที่ตนเองอยู่แล้วรู้สึกมีความสุข สบายใจ ซึ่งในตอนนี้มีปัญหาค่อนข้างใหญ่ว่าเป็นที่พึงปรารถนาของใคร ประชาชน กลไกรัฐ รัฐบาล สื่อมวลชน นักคิด ฯลฯ

ณ ขณะนี้ที่มองสังคมไทย แลดูสังคมจะให้ความสำคัญกับเรื่องทุนนิยมมาก ชุมชนแบบเกษตรกรที่เคยพึ่งพาตนเองได้ ต้องพึ่งระบบตลาดและเงินกู้ของนายทุนจากในเมืองและจากต่างชาติ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างคนรวยและคนจนทั้งในชนบทและเมืองเพิ่มขึ้น (เรื่องนี้สังเกตได้จากการที่ร้านขายของชำต้องปิดกิจการลงเพราะสู้ระบบทุนหนาไม่ไหว จากการเป็นนายตัวเองก็มาเป็นหนี้มาเป็นลูกจ้าง) คนที่จนต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ การซื้อขายเสียงเพิ่มขึ้น เกิดการเสียเปรียบทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง
ชนชั้นปกครองชอบทำให้ประชาชนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่าประชาธิปไตยหมายถึงการไปลงคะแนนเลือกผู้แทนให้ทำหน้าที่แทนประชาชน เมื่อเลือกเสร็จแล้วประชาชนก็หมดภาระหน้าที่ ไม่ต้องทำอะไรอีก ทั้งๆที่ความจริง ระบบผู้แทนเป็นส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมดของระบอบประชาธิปไตย

ทั้งระบบการศึกษาและสื่อสารมวลชนของไทย ระบบการศึกษาสอนแบบท่องจำ ไม่ได้สอนให้คนคิดวิเคราะห์หรือสังเคราะห์เป็น การศึกษาและสื่อสารมวลชนไม่ได้ให้การศึกษาและข่าวสารแก่ประชาชนในเรื่อง สิทธิพลเมือง ว่าประชาชนเป็นเจ้าของป่าไม้ แม่น้ำลำคลอง ที่สาธารณะ หรือสาธารณสมบัติต่างๆ ทั้งรัฐวิสาหกิจและคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ฯลฯ ประชาชนเป็นผู้จ่ายภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม (ผ่านภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีการค้าต่างๆ)

ประชาธิปไตย หมายถึง ประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ว่า ประโยชน์ในที่นี้ไม่ใช่แปลว่าประชาชนเป็นใหญ่เพราะถ้าประชาชนยังเห็นแก่ตัวหรือมีความคิดความเชื่อแบบผิดๆ เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนที่มีคุณภาพต่ำก็จะทำให้เกิดโทษสำหรับส่วนรวมได้ ประเด็นที่น่าคิด การร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยนักวิชาการของชนชั้นสูงและชนชั้นกลางมักจะคิดในแง่ของนักกฎหมาย นักรัฐศาสตร์ ที่เรียนมาจากประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมตะวันตกมากเกินไป (เพราะคิดว่าตัวเองมีการศึกษาสูง มีจิตใจที่ไม่เปิดกว้างรับฟังประชาชนกลุ่มต่างๆ อย่างแท้จริง รวมทั้งยึดติดผลประโยชน์ และความต้องการส่วนตัวของชนชั้นกลางด้วย)

ประเทศแบบเสรีประชาธิปไตยทุนนิยมเช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น มีการเลือกตั้งที่พรรคใหญ่บางพรรคชนะมาตลอดหลายสิบปีเหมือนกับผูกขาด แต่ภายในพรรคการเมืองมีการคัดเลือกสมาชิกพรรคแบบแข่งขันตามความรู้ความสามารถและประชาชนที่มีความรู้ก็จับตามองอยู่ทำให้เขาสามารถฝึกฝนคัดเลือกผู้นำระดับต่างๆ มาทำงานเพื่อประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและซื่อตรงมากกว่าของไทย

ประชาชนไทยควรเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่การคัดเลือกรัฐบาลและผู้ตรวจสอบรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นประชาชนไทยจึงต้องคิดแบบการปฏิรูปเรื่องการเลือกผู้แทนให้ดีกว่านี้ ต้องปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสื่อมวลชน ทำให้เกิดกระบวนการให้การศึกษาข้อมูลข่าวสารทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างมีคุณภาพและทั่วถึง และควรให้การศึกษาเรื่อง สิทธิพลเมือง อย่างกว้างขวางต้องปฏิรูปเศรษฐกิจการเมือง กระจายทรัพยากรและอำนาจการบริหารท้องถิ่นให้ชุมชน ส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทมากขึ้น (เช่น การปกครองแบบท้องถิ่น ให้ประชาชนทั้งชุมชนมีสิทธิมาเข้าร่วมประชุมพัฒนาท้องถิ่นตนเอง) การพึ่งพาตนเองในระดับชุมชน พัฒนาระบบสหกรณ์ผู้ผลิตผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง เพื่อเข้าไปทดแทนหรือลดสัดส่วนของทุนข้ามชาติและธุรกิจเอกชนแบบผูกขาดที่ให้ผลกำไรเฉพาะคนกลุ่มน้อย ทั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมเรื่องการสำนึกรักบ้านเกิด หากส่งเสริมเรื่องการมีส่วนร่วมในท้องถิ่นจะช่วยปลูกฝังวัฒนธรรมการรักบ้านเกิดได้ เวลาที่เด็กในชุมชนไปศึกษาหาความรู้ก็อยากจะนำความรู้กลับมาพัฒนาบ้านเกิดมากกว่าการไปทำงานเพื่อประโยชน์ในด้านการเงินเพียงอย่างเดียว

ในเรื่องของการเลี้ยงดูเด็ก เปลี่ยนจากการใช้คำสั่ง ส่งเสริมให้มีความรับผิดชอบด้วยตัวเองอย่างเข้าใจเหตุผล ฝึกให้เด็กมีวินัยในตัวเอง รู้ว่าวินัยเป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นทุกคนในสังคมร่วมกัน

ในเรื่องของการศึกษา ควรมุ่งเน้นให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น เป็นตัวของตัวเอง กล้าถาม กล้าอภิปรายพัฒนาความฉลาดทั้งทางปัญญา อารมณ์ จิตสำนึกที่ดีมีคุณธรรม และสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันได้

สื่อมวลชน ควรเสนอความเป็นจริงของสังคมให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลที่แท้จริง ยกระดับความคิดความอ่าน รสนิยม ค่านิยมของประชาชนมากขึ้น สื่อมวลชนก็มีส่วนช่วยในการปลูกฝังวัฒนธรรมให้กับเด็ก เช่นเรื่องของคุณธรรมจริยธรรม สื่อออกมาในรูปแบบของการ์ตูน เยาวชนวัยรุ่นในเรื่องของโฆษณาละครก็ควรปลูกฝังค่านิยมทางจริยธรรม สร้างทัศนคติที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่นึกถึงแต่เรื่องทุนนิยมมากเกินไป แข่งขันสูง เห็นแก่ได้มากเกินไป การให้ความรู้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน การปลูกฝังวัฒนธรรม การเลี้ยงดู การศึกษาถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

เรื่องเสรีภาพที่ทุกคนพึงมี แต่ก็ต้องไม่ไปลิดรอนเสรีภาพของบุคคลอื่นในสังคม (เช่นเรามีเสรีภาพที่จะสูบบุหรี่ได้ แต่การสูบบุหรี่ของเราต้องไม่ไปรบกวนเสรีภาพของคนอื่น การมาอยู่รวมกันในสังคมมีกฎระเบียบที่ทุกคนต้องปฏิบัติเพื่อความสงบสุข)

การพัฒนาประชาชนให้มีความคิด ทัศนคติ ค่านิยมที่เป็นพลเมืองดีจะช่วยให้เราแต่ละคนตอบสนองความต้องการทางจิตใจและความต้องการทางสังคมของเราแต่ละคนได้ดีและมีชีวิตที่มีความสุข รวมทั้งยังช่วยเอื้อต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในชุมชน และช่วยให้ชุมชนเจริญงอกงามด้วย

อ้างอิง: คุณวิทยากร เชียงกูล. ปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อแก้ไขวิกฤตการของชาติ


(ปล.ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ข้างล่างบทความนี้ตรงคำว่าความคิดเห็นคลิกเข้าไปได้เลยนะคะ)


วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ณ มุมหนึ่ง กับ แนวคิดขงจื้อ

ณ มุมหนึ่ง คืออะไร?? ขงจื้อคืออะไร?? ลองอ่านดูนะคะ

ขงจื้อ เป็นครูที่ยึดมั่นในสาระสำคัญของคำว่า “ศีลธรรมอันดี” อย่างจริงจัง
เขาเป็นผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับคำว่าคำว่า “ความซื่อสัตย์” และไม่เคยไว้ใจผู้ที่มีถ้อยวาจาไพเราะ เขามีวัตถุประสงค์หลักอยู่ที่การสอนให้นักเรียนประพฤติปฏิบัติอย่างถูกทำนองคลองธรรม
อย่างเช่น “หากเจ้าคิดจะเป็นผู้ปกครองคน เจ้าต้องรู้จักปกครองตนเองก่อน” แต่ที่เป็นสาระสำคัญหรือหัวใจในคำสอนของเขาจริงๆ ก็คือ คุณธรรมในด้าน “รู้จักมอบความรักให้แก่ผู้อื่น”
ลองมาดูแนวคิดขงจื้อกันนะคะ^^=
หลักธรรมคำสอนของขงจื้อ ถ้าจะกล่าวโดยรวบยอด ก็ได้แก่หลักการ “ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน” หรือ “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” โดยขงจื้อได้แบ่งกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่สัมพันธ์กันและเกี่ยวข้องกันไว้ 5 คู่ด้วยกัน ดังนี้
1. ผู้ปกครอง กับ ผู้อยู่ใต้ปกครอง คือ ผู้ปกครองต้องแสดงความนับถือ(ให้เกียรติ)แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้อยู่ใต้ปกครอง ก็ต้องมีความจงรักภักดี
2. บิดามารดา กับ บุตรธิดา คือ บิดามารดา ก็ต้องมีความเมตตา กรุณาต่อบุตรธิดา และบุตรธิกาก็ต้องมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา
3. สามี กับ ภรรยา คือ สามีต้องประกอบด้วยคุณธรรมสงเคราะห์ภรรยาตามควรและภรรยาก็ต้องเคารพ เชื่อฟังและปรนนิบัติ
4. พี่ กับ น้อง คือ พี่วางตัวให้สมกับเป็นพี่ และน้องก็ต้องเคารพและให้เกียรติพี่
5. เพื่อน กับ เพื่อน คือ เพื่อนก็วางตัวให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจกันและกัน
เห็นได้ว่า หลักธรรมของขงจื้อให้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เปรียบกับการเมืองไทยที่ปกครองแบบประชาธิปไตย คนที่เป็นนักการเมืองในระบบประชาธิปไตยจะต้องมีศรัทธาต่อระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องเคารพต่อสิทธิเสรีภาพ มีคุณธรรม เคารพต่อหลักนิติธรรมไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ
ดังความที่ขงจื้อกล่าวไว้ว่า “อำนาจควรจะควบคู่ด้วยคุณธรรม ผู้ซึ่งขาดคุณธรรมอาจนำไปสู่การใช้อำนาจที่ผิดๆ” ซึ่งถ้านักการเมืองขาดคุณธรรมก็จะใช้อำนาจทางการเมืองไปในทางที่ผิด ก่อให้เกิดความเสียหายต่างๆ ขึ้น ส่งผลกระทบต่อทั้งระบบการเมืองการปกครองเอง ระบบเศรษฐกิจ ฯลฯ
ฉะนั้นนักการเมืองผู้ปกครองต้องควบคู่ด้วยคุณธรรม จริยธรรม มองในมุมมองแบบปรัชญาขงจื้อ คือ ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ล้วนมีสาเหตุมาจากการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของบุคคลในสังคม นับตั้งแต่ตัวผู้ปกครอง(นักการเมือง) กระทั่งถึงประชาชนผู้ถูกปกครอง
“การปกครองคือการซื่อตรง หากท่านซื่อตรง แล้วใครจะกล้าไม่ซื่อ” คำที่ท่านขงจื้อตอกหน้าชนชั้นปกครอง
แนวคิดขงจื้อเป็นเรื่องระดับจริยธรรม ที่จะจรรโลงความสงบร่มเย็น ความเจริญรุ่งเรืองของสังคม บ้านเมือง “ท่านขงจื้อว่า ปกครองโดยระบบการเมืองระบบกฎหมายรักษากฎเกณฑ์ด้วยอาญา ราษฎรย่อมหลีกเลี่ยงการกระทำผิด แต่มิได้มีหิริโอตัปปะ และภักดีด้วยความเต็มใจ”
หิริโอตัปปะ เป็นหลักธรรมของศาสนาพุทธ ซึ่งบ่งถึงการกลัวต่อบาปและละอายต่อบาป บุคคลซึ่งเป็นนักการเมืองและบุคคลสาธารณะต้องเป็นบุคคลที่มีหิริโอตัปปะ เพราะบุคลที่ขาดหิริโอตัปปะคือบุคคลที่ไว้ใจไม่ได้และพร้อมที่จะทำความผิด ทำความชั่ว ละเมิดกฎหมาย ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองและแผ่นดิน บุคคลเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะหลงอำนาจ ลุแก่อำนาจ ละเมิดอำนาจละเมิดกฎหมาย หาผลประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชาติและสังคม พฤติกรรมทางการเมืองที่เห็นเด่นชัดของนักการเมืองไทย คือ การเปลี่ยนตัวผู้อุปถัมภ์ และการเปลี่ยนพรรคในลักษณะจิ้งจกเปลี่ยนสี เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปก็จะปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ใหม่ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชาติและสังคม
กล่าวโดยสรุป ปรัชญาขงจื้อจึงเป็นแนวคิดที่มีความเห็นชัดเจนว่า สาเหตุและปัจจัยทั้งหลายที่ทำให้สังคม บ้านเมืองเกิดความปั่นปวนวุ่นวายไร้ระเบียบล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น และเงื่อนปมของปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ด้วยกันเอง การที่มนุษย์ขาดศีลธรรม จริยธรรมในตนเอง การที่มนุษย์ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา ความขัดแย้งนานาที่เกิดจากฐานะที่แตกต่างกัน ทั้งหมดนี้จำเป็นจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานการมอบความรักให้แก่ผู้อื่น เมื่อรักผู้อื่น เราก็ย่อมมีความจริงใจ ซื่อตรงต่อผู้อื่น การไร้สัจจะ ไร้ความสัตย์ซื่อต่อผู้อื่นก็คือไม่มีความรักให้คนอื่นเลย
ด้วยความรู้สึกชอบแนวคิดขงจื้อตั้งแต่ตอนเรียนปรัชญาจีน-ญี่ปุ่น หลักคำสอนของขงจื้อให้ความสำคัญกับพฤติกรรมและจริยธรรมของมนุษย์ การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การมอบความรักให้แก่ผู้อื่น ความซื่อสัตย์ และจากการที่ได้ศึกษาปรัชญาขงจื้อเพิ่มเติมยิ่งทำให้รู้สึกชอบมากขึ้น หากผู้คนปฏิบัติตามหลัก 5 ประการของขงจื้อ ก็จะมีชีวิตที่สงบเจริญรุ่งเรืองในการทำงานและการดำเนินชีวิต เพราะทุกคนปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง ก็คงเหมือนกับหากผู้คนปฏิบัติตนรักษาศีลห้า สังคมจะสงบร่มเย็น ^^=
งานนี้ถือเป็นบทความชิ้นที่สอง ที่ได้เขียน แต่เป็นบทความชิ้นแรกที่นำมาเขียนใน blog ซึ่งนับเป็นความแปลกใหม่ที่รู้สึกต่อความเจริญของโลกเทคโนโลยี เรื่องราว ณ มุมหนึ่ง กับ แนวคิดขงจื้อ เป็นอย่างไร ก็ขอให้เพื่อนๆ ผู้ที่เข้ามาอ่านทุกท่าน ช่วยคอมเม้นด้วนนะคะ ขอบคุณคะ ^^=